Page 64 - วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ ทางเลือก ปีที่ 19 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2564
P. 64

294 วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ ทางเลือก        ปีที่ 19  ฉบับที่ 2  พฤษภาคม-สิงหาคม 2564




           ศึกษา 60 ราย (20 ราย ในแต่ละกลุ่ม) พบว่า 62.5%   ศึกษาที่เป็นรูปแบบ before-after, non-randomized
                                                                     [44]
           ในกลุ่มที่ได้ยาฟาวิพิราเวียร์ ไม่พบเชื้อภายใน 4 วัน   - controlled trial  ที่เหลืออีก 6 โครงการ เป็น ob-
           เมื่อเทียบกับ 30% ในกลุ่มควบคุม (p = 0.018) อาการ  servational study หรือ case series [45-50]  ผลของ
           ไข้กลุ่มที่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์หายเร็วกว่ากลุ่ม  การวิเคราะห์อภิมานพบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยา
           ควบคุม โดยมีค่ามัธยฐาน 2 วัน เทียบกับ 4 วัน (p =   ฟาวิพิราเวียร์ สามารถก�าจัดไวรัสได้เร็วกว่ากลุ่ม

           0.007) ผลจากการศึกษาน�าร่องนี้ ท�าให้กระทรวง  ควบคุมในวันที่ 7 หลังการรักษา (odd ratio OR 2.49,
           สาธารณสุขของรัสเซียอนุมัติให้ใช้ยา avifavir เป็นยา  95% CI 1.19-5.22) แต่ไม่แตกต่างกันในวันที่ 14 ส่วน
           ที่ใช้รักษาโควิด-19 ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน (EUA)   อาการทางคลินิกดีขึ้นกว่ากลุ่มควบคุมทั้งวันที่ 7 และ

           และก�าหนดให้มีการด�าเนินการวิจัยต่อในระยะ 3   วันที่ 14 (OR 1.60, 95% CI 1.03–2.49 และ OR 3.03,
           (phase 3 clinical trial) โดยมีการปรับขนาดยา load-  95% CI 1.17–7.80 ตามล�าดับ) การทบทวนนี้แสดงว่า
           ing dose เป็น > 44 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัมน�้าหนักตัว   ยาฟาวิพิราเวียร์สามารถก�าจัดไวรัสได้ภายใน 7 วัน

           เป็นระยะเวลานาน 10 วัน ขณะนี้ยังไม่พบรายงานผล  และท�าให้มีอาการทางคลินิกดีขึ้นภายใน 14 วัน ซึ่ง
           ของการศึกษา                                 แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของยาฟาวิพิราเวียร์ในการ

                มีการศึกษาอีกหลายการศึกษา [35-41]  ที่เป็น RCT   รักษาโรคโควิด-19 ในผู้ป่วยอาการเล็กน้อยถึงปาน
           ซึ่งได้ประเมินประสิทธิผลของยาฟาวิพิราเวียร์เปรียบ  กลาง อย่างไรก็ตามผู้ทบทวนประเมินหลักฐานมีความ
           เทียบกับยาที่ใช้รักษาตามมาตรฐานของแต่ละสถาบัน  เสี่ยงสูงต่ออคติและคุณภาพของข้อมูลถูกประเมินว่า

           ที่ท�าการศึกษา เช่น คลอโรควิน, arbidol, lopinavir/  มีความเชื่อมั่นต�่า (low certainty)
           ritonavir, baloxavir marboxil, darunavir/cobi-     การทบทวนอีกฉบับ  เป็นการทบทวนจาก
                                                                            [43]
           cistat และ tocilizumab การศึกษาเหล่านี้ใช้ขนาด  รายงานการวิจัยทางคลินิกที่มีการเปรียบเทียบกับกลุ่ม
           ยาและระยะเวลาที่แตกต่างกัน ในแต่ละการศึกษามี  ควบคุมด้วยยาต้านไวรัสชนิดอื่นจ�านวน 9 โครงการ
           ขนาดของตัวอย่างที่ค่อนข้างจ�ากัด การติดตามผลก็มี  รวมผู้ป่วย 827 ราย โดยเป็นการศึกษาแบบสุ่มไม่

           ความแตกต่างกัน จาก 14 ถึง 30 วัน อาการของโรค  ปกปิด (open randomized clinical trial) ยกเว้น
           จากอาการน้อยถึงอาการรุนแรง การศึกษาเหล่านี้ให้  ฉบับเดียวที่ไม่มีการสุ่ม  การวิจัยท�าในประเทศจีน
                                                                         [44]
           ผลที่แตกต่างกันและขัดแย้งกันในบางประเด็นท�าให้  รัสเซีย โอมาน อียิปต์ ญี่ปุ่น และ อินเดีย พบว่าผู้ป่วย

           ตัดสินใจยากว่าควรที่จะใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ในการ  มีอาการทางคลินิกที่ดีขึ้นอย่างมีนัยส�าคัญเมื่อเทียบ
           รักษาโควิด-19 หรือไม่                       กับกลุ่มควบคุมส�าหรับในช่วงเวลาการติดตาม 7 วัน
                ได้มีรายงานการทบทวนอย่างเป็นระบบและการ  (RR 1.24, 95% CI 1.09-1.41, p = 0.001) ถึงแม้ว่า

           วิเคราะห์อภิมานของยาฟาวิพิราเวียร์ 2 ฉบับ [42-43]   ฟาวิพิราเวียร์จะมีแนวโน้มในการก�าจัดไวรัสได้
           รายงานแรกที่จะกล่าวถึงเป็นการทบทวนรายงาน 11   มากกว่ากลุ่มควบคุมในวันที่14 แต่ไม่มีนัยส�าคัญทาง

           ฉบับ  ในจ�านวนผู้ป่วย 1,019 ราย ที่มีอาการน้อยถึง  สถิติ (RR 1.11, 95% CI 0.98-1.25, p = 0.094) การ
               [42]
           ปานกลาง โดยการศึกษาที่ใช้ในการทบทวนและ      วิเคราะห์อภิมานนี้ไม่พบความต่างในความต้องการ
           วิเคราะห์นี้ เป็น RCT 4 โครงการ [34-35,37,39]  และ มีการ  ออกซิเจน หรือการย้ายเข้า ICU หรือ การเกิดอาการ
   59   60   61   62   63   64   65   66   67   68   69