Page 92 - คู่มือการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง(Palliative Care) แบบบูรณาการ
P. 92

ภาคผนวก     91



            เท่ากับ 16.737  g/ml พบว่าสารสกัดที่มีฤทธิ์ดีกว่าสารมาตรฐาน คือ ยาด�า และขิงแห้งชั้นเอทานอล 95% มีค่า
            EC เท่ากับ 8.934 และ 16.299  g/ml ตามล�าดับ แต่สารสกัดเบญจอ�ามฤตทั้งชั้นน�้าและชั้นเอทธานอล
               50
            มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระน้อยมากคือมีค่า EC  มากกว่า 50   g/ml
                                                50
                    การศึกษาทางพิษเรื้อรังของ ภญ ปราณี ชวลิตธ�ารง กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผลการทดสอบพิษเฉียบพลัน
            โดยป้อนสารสกัดต�ารับเบญจอ�ามฤตให้หนูถีบจักรทางปาก ในขนาด 2, 3 และ 4.5 ก./กก. พบว่า ท�าให้หนูมีอาการ
            พิษเฉียบพลันและขนาดของสารสกัดที่ท�าให้หนูตายร้อยละ 50 (LD50) มีค่าเท่ากับ 3.55 ก./กก. ซึ่งสูงกว่าขนาด

            สารสกัดที่จะใช้ในคนประมาณ 700 เท่า ผลการศึกษาพิษเรื้อรังโดยให้สารสกัดทางปากแก่หนูแรทที่ขนาด 5, 50,
            250 และ 500 มก./กก./วัน เป็นระยะเวลา 6 เดือน พบว่าหนูเพศผู้กลุ่มที่ได้รับสารสกัด 250 และ 500 มก./กก./วัน
            มีการเจริญเติบโตช้ากว่ากลุ่มควบคุม กลุ่มที่ได้รับสารสกัด 500 มก./กก. มีเม็ดเลือดขาวนิวโตรฟิลและเกล็ดเลือด
            สูงขึ้นอย่างมีนัยส�าคัญแต่มีแนวโน้มลดลงเมื่อหยุดให้สารสกัด หนูที่ได้รับสารสกัดทุกกลุ่มมีระดับกลูโคสลดลง
            อย่างมีนัยส�าคัญ กลุ่มที่ได้รับสารสกัด 250 และ 500 มก./กก. มีการลดลงของไขมันไตรกลีเซอไรด์และโคเลสเตอรอล
            อย่างมีนัยส�าคัญกลุ่มที่ได้รับสารสกัด 500 มก./กก.มีระดับเอนไซม์ ALT และ AST สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่าง
            มีนัยส�าคัญ แต่การเพิ่มขึ้นของเอนไซม์ ALT และ AST รวมทั้ง AST ที่ยังคงมีระดับสูงภายหลังหยุดให้สารสกัด
            เป็นเวลา 2 สัปดาห์ช่วยบ่งชี้ว่า การรับประทานสารสกัดเป็นเวลานานติดต่อกันอาจมีผลต่อตับ ระดับโปแตสเซียม
            ที่ลดลงในหนูเพศผู้และเพศเมียที่ได้รับสารสกัดขนาดต่างๆ ยังคงอยู่ในช่วงค่าปกติ ถึงแม้ว่าผลการตรวจอวัยวะทาง
            จุลพยาธิวิทยาแสดงให้เห็นว่า สารสกัดขนาดต่างๆไม่ก่อให้เกิดรอยโรคทางจุลพยาธิวิทยาต่ออวัยวะภายในของ
            สัตว์ทดลองเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ผลการศึกษาความเป็นพิษนี้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดต�ารับยาเบญจอมฤต
            ในขนาดที่รักษาคือ 50 mg/kg ไม่มีความเป็นพิษ และผิดปกติต่ออวัยวะใดๆ ถึงแม้ขนาดสูงถึง 10 เท่าคือ 500 mg/kg
            ก็มีผลน้อยและเมื่อหยุดยาก็สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้
                    สรุปได้ว่าสารสกัดต�ารับยาเบญจอมฤตมีความปลอดภัยสูงและมีผลต่อเซลล์มะเร็งตับดีมาก และมีความเป็นพิษ
            ต่อเซลล์ปกติน้อยกว่ามะเร็งตับถึง 27 เท่านับว่าเป็นผลดี และใช้นานในขนาดที่รักษาไม่มีพิษต่อตับและไต เมื่อใช้กับ
            ผู้ป่วย พบว่ามีอัตรารอดชีวิตมากว่า หนึ่งปี  และก้อนเนื้อไม่ติบโตมากขึ้น ถือได้ว่าเป็น stable diseases



            สรุป
                    ผลการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในหลอดทดลองและในสัตว์ทดลองของต�ารับยามะเร็งดังกล่าวข้างต้นที่ใช้
            ในผู้ป่วยมะเร็ง เป็นการพิสูจน์และยืนยันองค์ความรู้ในการใช้สมุนไพรรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งใช้ความรู้ของแพทย์แผนไทย
            ที่สั่งสมมาเป็นเวลานานในการรักษาผู้ป่วย ส่งผลให้เกิดเป็นผลงานวิจัย ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยมะเร็งโดยตรง และ
            ในภาพรวมของประเทศ และ ในส่วนต�ารับเบญจอมฤตเป็นการพิสูจน์ภูมิปัญญาที่ระบุในต�าราแพทยศาสตร์สงเคราะห์
            นอกจากนี้ยังเป็นการพัฒนาการศึกษาวิจัยต�ารับยาแผนไทย เป็นการประกาศประชาสัมพันธ์ให้คนไทยมีความมั่นใจ
            ในต�ารับยาแผนไทย หันกลับมาใช้ยาไทยมากขึ้น และยังเป็นการลดการขาดดุลทางการค้าจากการน�าเข้ายาจาก
            ต่างประเทศที่มีราคาแพง



            4. อาหารต้านมะเร็ง
                    แนวคิดการใช้อาหารต้านมะเร็งแบ่งเป็นสองส่วน ได้แก่ ส่วนแรกคืออาหารที่ใช้ป้องกันมะเร็ง (Waldron
            et al., 1993) หมายถึง อาหารที่ออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการก่อกลายพันธุ์ของเซลล์ปกติที่กลายเป็นมะเร็ง
            ต้านการเกิดสารก่อมะเร็ง  ส่วนที่สองคืออาหารที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งโดยตรง
                    อาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เพราะสารต้านอนุมูลอิสระยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งและท�าให้ โรคที่เป็น
            อยู่ไม่ก�าเริบหนักขึ้นได้ ทั้งนี้เพราะสาเหตุที่ท�าให้เกิดมะเร็งบางอย่างสามารถท�าให้ร่างกายสร้างอนุมูลอิสระขึ้น และ
            อนุมูลอิสระมากไปก็ท�าให้เกิดกลายเป็นมะเร็งได้  เช่น การสัมผัสรังสี  แสงแดด  เอกซเรย์  ควันบุหรี่  อาหารประเภท
            ไขมันสูง วิธีการประกอบอาหารไขมันในอุณหภูมิสูง เช่นการทอดน�้ามันจะเกิดอนุมูลอิสระจ�านวนมากมาย  หรือการ
            รับประทานอาหารที่นิยมใส่เกลือไนเตรต  ซึ่งใช้เป็นสารกันเสีย  สารท�าให้เกิดสี  เช่น แหนม  ปลาร้า  กะปิ  กุนเชียง
            เบคอน  แฮม  เกลือไนเตรทเหล่านี้จะก่อให้เกิดสารที่คงตัวในรูปเอมีน เป็นไนไตรซามีน หรือสารกลุ่มเอไมด์ (amide)
            เป็น Nitrosamine ซึ่งเป็นสารก่อให้เกิดมะเร็งได้ (Gray, 1981, Hecht et al., 1983) ดังนั้นสารต้านอนุมูลอิสระ
   87   88   89   90   91   92   93   94   95   96   97