กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เร่งผลักดันแผนแม่บทแห่งชาติ พ.ศ.2560 – 2564 เข้า ครม. เพื่อหวังพลิกสมุนไพร สร้างมาตรฐานระบบบริการสุขภาพและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

         นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานคณะกรรมการอำนวยการยกร่างแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย พ.ศ.2560 - 2564 กล่าวภายหลังประชุมติดตามผลความคืบหน้า การดำเนินการเพื่อยกร่างแผนแม่บทแห่งชาติฯ ณ กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ว่า “แผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วย การพัฒนาสมุนไพรไทย พ.ศ. 2560 - 2564 เป็นการร่วมมือกันระหว่าง 9 องค์กร ได้แก่ กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงอุตสาหกรรม และยังได้รับการสนับสนุน จาก สวรส. อีกด้วย แผนแม่บทฯประกอบด้วยแผนงานย่อย 4 แผนงานสำคัญ คือ แผนงานที่ 1 ส่งเสริมผลิตผลของสมุนไพรไทยที่มีศักยภาพ ตามความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ มีเป้าประสงค์ที่จะให้เกษตรกรและผู้ประกอบการมีรายได้เพิ่มขึ้น จากการค้าพืชสมุนไพรที่มีคุณภาพ แผนงานที่ 2 พัฒนาอุตสาหกรรมและการตลาดสมุนไพรไทยสู่สากล มีเป้าประสงค์เพื่อพัฒนายาและผลิตภัณฑ์สมุนไพรให้มีศักยภาพในการแข่งขันทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ แผนงานที่ 3 ส่งเสริมการใช้สมุนไพรเพื่อการรักษาโรคและการสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อส่งเสริมให้ มีการใช้สมุนไพรไทยภูมิปัญญาไทยในการรักษาโรค และสร้างเสริมสุขภาพให้มากขึ้น ประชาชนสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้ด้วยสมุนไพรไทยและภูมิปัญญาไทย และแผนงานที่ 4 สร้างความเข้มแข็งของการบริหารและนโยบายของรัฐเพื่อการขับเคลื่อนอย่างยั่งยืน เป้าประสงค์ คือ ประเทศไทยมีกลไกในการพัฒนาสมุนไพรที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้แผนงานทั้ง 4 แผนงาน จะมียุทธศาสตร์ที่จำเป็นสำหรับการแก้ไขปัญหาสำคัญของการพัฒนาสมุนไพรไทยที่กล่าวแล้วข้างต้น ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำ ซึ่งในวันนี้เป็นการประชุมเพื่อติดตามความก้าวหน้า คาดว่าจะเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในช่วงเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม 2559”

         แผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย พ.ศ. 2560 – 2564 มีจุดหมายปลายทาง คือ “สมุนไพรไทย เพื่อความมั่นคงทางสุขภาพและความยั่งยืนของเศรษฐกิจไทย” การดำเนินการดังกล่าว คาดว่าจะทำให้มีพื้นที่ในการปลูกสมุนไพรที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้นกว่า 40,000 ไร่ เป็นการเพิ่มมูลค่าทางการตลาดของยาและผลิตภัณฑ์สมุนไพรของประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 320,000 ล้านบาท ประชาชนคนไทยสามารถเข้าถึงยาสมนุนไพรและบริการการแพทย์แผนไทยเพิ่มขึ้น จึงสามารถลดการนำเข้ายาแผนปัจจุบัน ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญของการรักษาพยาบาล

29 มิถุนายน 2559

ภาพและข้อมูลโดย สำนักงานสื่อสารองค์กร (สสอ.)